วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552
Boot,Boot record,Bootstrap loader
เป็นรัสพจน์ของ bootstrap, การนำระบบปฏิบัติการเข้าสู่หน่วยความจำ เกิดขึ้นอัตโนมัติเมื่อเปิดเครื่อง หรือปิดแล้วเปิดใหม่ ชุดคำสั่งที่เก็บไว้ในรอบจะทำงานเริ่มด้วยการทำ Power-On Self Tests (POST) เพื่อตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ฮาร์ดดิสก์ตามด้วยการหาระบบปฏิบัติการเพื่อนำเข้าสู่หน่วยความจำ แล้วก็ส่งการควบคุมคอมพิวเตอร์ต่อไปให้แก่ระบบปฏิบัติการ
Boot record
โปรแกรมสั้นๆซึง่สามารถเก็บอยู่บนฮาร์ดดิสก์ที่ต้องถูกอ่านก่อนเมื่อเครื่องเริ่มทำงาน เมื่อเปิดสวิตซ์หรือบูตเครื่อง โปรแกรมนี้จะสั่งให้ไปอ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมและเข้ามาในหน่วยความจำขอเครื่องคอมพิวเตอร์อัชีกต่อหนึ่ง
Bootstrap loader
เป็นโปรแกรมสั้นๆที่เก็บอยู่ในหน่วยความจำแบบรอม ทำหน้าที่เรียกโปรแกรมควบคุมจากแผ่นจานแม่เหล็กมาเก็บไว้ในหน่วยความจำหลัก เพื่อที่จะใช้งานได้ทันทีในขณะที่เปิดสวิตซ์
วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สเปคและการเลือกซื้ออุปกรณ์

Feature
The Compaq Presario w185q LCD wide-screen monitor has the following features:
-1366 x 768 factory-set resolution
- Supports VGA and DVI
-Plug and Play capability, if supported by your computer system
-On-screen display (OSD) adjustments for ease of setup and screen optimization
-Energy Star compliant
Specification
Display size
-18.5-inch (46.99 cm) diagonal and viewable image
Display type
-Thin-Film Transistor LCD active matrix
Input terminals
-1 VGA connector and 1 DVI-D
Integrated speakers
-1 watt per channel
Scanning frequency
-Horizontal scan range 30-64 KHzVertical scan range 50-76 Hz
Viewing angle
-Horizontal viewing angle: 170 degrees Vertical viewing angle: 160 degrees
Recommended resolution (H x V)
-1366 x 768 @ 60 Hz
Contrast ratio
-Up to 600:1
Response time
-5 ms (typical)
Pixel pitch
-0.30 mm
Power source - AC/DC adapter
-Input rating: 100 to 240V~frequency: 50~60HzPower consumption: 33 watts maximum power consumption in operating mode, <2>
Operating environment
-Temperature: 41 degrees F to 95 degrees F (5 degrees C to 35 degrees C )Humidity: 15% RH through 90% RH (non-condensing)
Storage environment
-Temperature: -29 degrees F to 140 degrees F (-33.8 degrees C to 60 degrees C) Humidity: 5% RH through 90% RH (non-condensing)
Dimensions
-H x W x D (unpacked): 13.54 x 17.4 x 7.09 inches (34.4 x 44.2 x 18 cm)
Weight
-Unpacked: 7.28 lbs (3.3 Kg)
EMI standard
-FCC Class B
Mounting
-Standard VESA 4-hole 100 mm x 100 mm
EPA Energy Star
-As an Energy Star Partner, Hewlett-Packard has determined that this product meets the Energy Star guidelines for energy efficiency.
อ้างอิงมาจาก http://www.google.com/
การเลือกซื้ออุปกรณ์
การเลือก LCD Monitor
ในช่วงระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดจอ LCD Monitor มีการเติบโตขึ้นเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วย จึงได้รับความนิยมมากขึ้นทุกขณะ ดังนั้นการเลือกใช้ให้เหมาะสม ต้องดูจากปัจจัยหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ขนาด เทคโนโลยี พอร์ตต่อพ่วงไปจนถึงราคาที่ล้วนแต่มีความสำคัญไม่แพ้กัน
รูปลักษณ์และความสวยงาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายครั้งผู้ซื้อจะให้ความรู้สึกในเรื่องรูปลักษณ์หรือกว่าประสิทธิภาพจะได้รับ เช่นเดียวกับจอ LCD ก็เช่นกันที่ผู้ใช้มักจะเอาความสวยงามมาเป็นตัวเปรียบเทียบแต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดเสียทีเดียว เพราะเรื่องของดีไซน์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใช้ต้องสัมผัสและพบเจอในการใช้งานอยู่ทุกวัน หากไม่สวยงามโดนใจหรือไม่เข้ากับเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านก็คงอึดอัดอยู่ไม่น้อยนอกจากนี้เรื่องของการออกแบบยังรวมไปถึงฟังก์ชันสำหรับการใช้งานต่างๆ เช่นผู้ที่นำไปใช้ในการพรีเซนเทชันอาจเลือกเป็นจอที่ปรับมุมมองซ้าย-ขวาหรือก้มเงยได้สะดวก หรือบางคนอาจต้องการขนาดที่บางเพื่อที่จะจัดวางหรือเคลื่อนย้ายไปมาได้ ซึ่งบางครั้งด้านขอบจอที่บางก็ทำให้หลายคนชอบเช่นกัน ในกรณี ที่ใช้จอสองตัวในการเล่นเกมหรือทำงานกราฟิก ซึ่งถ้าเป็นรูปแบบเหล่านี้ ก็นำมาใช้ในการพิจารณาได้ดีทีเดียว
ความละเอียด (Resolution)
ถ้ามองไปในตลาด ณ วันนี้ความละเอียดส่วนใหญ่ถูกกำหนดด้วยขนาดของจออยู่แล้ว เช่น จอขนาดเล็ก 15” ก็จะให้ความละเอียดที่ 1024x768 แต่ถ้าเป็น 22”จะอยู่ที่ 1680x1050ซึ่งการจะเลือกใช้ ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบในการทำงานไม่วาจะเป็น การเล่นเกม ชมภาพยนตร์ งานเอกสาร ตัดต่อกราฟิก ก็ล้วนแต่มีข้อกำหนดที่แตกต่างกันออกไป
ขนาดหน้าจอและความละเอียดของ LCD ที่พบกันบ่อยในตลาด
Panel
Resolution
15”
1024x768
17”
1280x1024
17” (Wide-screen)
1280x720
19”
1280x1024
19” (Wide-scree)
1440x900
20”
1600x1200
20” (Wide-screen)
1680x1050
22” (Wide-screen)
1680x1050
24” (Wide-screen)
1920x1200
จอธรรมดาหรือจอกระจก
เรื่องของหน้าจอแสดงผล ถือเป็นอีกส่วนหนึ่งที่หลายคนนำมาใช้ในการเลือกซื้อ LCD ด้วยเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกทั้งแบบจอแบบเคลือบเงาหรือที่เรียกว่า จอกระจก จอแบบดังกล่าวนี้มีคุณสมบัติที่ดีในการชมภาพยนตร์และเล่นเกม เนื่องจากให้สีสันที่สดใสและแสงที่สว่างจึงมักได้รับความนิยมหมู่คนที่ชอบความบันเทิงเป็นหลัก แต่ราคาจะค่อนข้างสูงส่วนอีกแบบหนึ่งเป็นจอธรรมดา คุณสมบัติที่ดีอยู่ที่การให้ความคมชัดที่สูง ไม่เน้นที่ความสว่างมากนัก จึงเหมาะกับผู้ที่ใช้งานอยู่หน้าจอเป็นเวลานานๆ นอกจากนี้ยังไม่มีการสะท้อนรบกวนของแสงเช่นเดียวกับจอกระจก ที่แม้จะมีการโค๊ตติ้งมาแล้วก็ตาม อีกทั้งจอแบบดังกล่าวยังมีราคาที่ไม่สูงอีกด้วย ทั้งสองแบบนี้เอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ส่วนการจะเลือกแบบใดนั้นให้ดูที่ความต้องการใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นหลัก
Response Time
สำคัญเพียงใด เป็นอัตราความเร็วในการตอบสนองของเม็ดสี ในการเปลี่ยนสีจากดำมาเป็นขาวแล้วกลับเป็นดำ (B/W)หรือบางครั้งอาจเป็นจากสีเทามาเป็นเทา(G/G)โดยบอกเวลาเป็นวินาทีซึ่งตัวเลขยิ่งน้อย ก็จะส่งผลให้การแสดงภาพมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น หากตัวเลขมากหรือช้า อาจเกิดอาการที่เรียกว่าภาพซ้อนหรือ Ghost เกิดขึ้น จนทำให้การเล่นเกมหรือการชมภาพยนตร์เสียอรรถรสไป ดังนั้นการเลือกซื้อปัจจุบันควรจะอยู่ที่ 2-8ms โดยประมาณ
Contrast Ratioค่า Contrast Ratio
เป็นค่าที่นำมาใช้ในการวัดอัตราส่วนของความสว่างและความมืด ว่ามีมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะส่งผลต่อความคมชัด สมจริงที่เกิดขึ้นในภาวะแสงต่างๆ การเลือกให้ดูตัวเลขที่สูงเป็นหลัก โดยปัจจุบันมีให้เลือกตั้งแต่ 500 : 1, 700 : 1, 1000 : 1, ไปจนถึงบางค่ายมีให้เลือกถึง 5000 : 1 ซึ่งก็แล้วแต่การวัดว่าเป็นแบบ Native หรือ Dynamic พอร์ต D-Sub DVI, HDMI ในส่วนของพอร์ตแสดงผล หากเป็นไปได้ควรเลือกจอที่มีพอร์ตแบบ DVI มาให้หรือมีให้ 2 แบบคือทั้ง D-Sub และ DVI เนื่องจากปัจจุบัน แม้ว่าการแสดงผลจะยังมีพอร์ต D-Sub ให้ใช้อยู่ก็ตาม แต่แนวโน้มในไม่ช้ากราฟิกการ์ดจอรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมานั้น จะมีแต่พอร์ตที่เป็น DVI เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการ์ดหลายรุ่นจะเป็นแบบ Dual DVI อีกด้วย จึงไม่จำเป็นต้องหาตัวแปลงสัญญาณมาใช้ นอกจากนี้ DVI ยังให้สัญญาณที่นิ่งกว่า เนื่องจากไม่ต้องแปลงจากดิจิตอลเป็นอะนาล็อกไปมาอีกด้วย
การรับประกัน ประกัน
Dot หรือ Dead pixels ให้สอบถามจากทางร้านให้ละเอียดครบถ้วน ทั้งในเรื่องของจำนวน Dot ที่เสีย จำนวนเท่าใดเคลมได้หรือมากกี่จุดถึงยอมให้เปลี่ยนตัวใหม่ ซึ่งต้องขอความชัดเจนให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในขึ้นตอนการเคลม จึงค่อยนำออกจากร้านการตรวจสอบ Dead หรือ Hot Pixel ก็ไม่ได้ยุ่งยากแต่อย่างใด ส่วนใหญ่ทางร้านจะมีการทดสอบให้อยู่แล้ว ถ้าไม่มีโปรแกรมสำหรับการตรวจสอบโดยตรง อาจใช้วิธีเบื้องต้นในการทดสอบง่ายๆ โดยเปลี่ยนสีหน้าจอเดสก์ทอปให้เป็นสีขาวเหลือง แดง น้ำเงินและดำ ทีละสีแล้วกวาดสายตาไปให้ทั่วๆ จนแน่ใจว่าไม่มีจุดสีที่แปลกเด่นขึ้นมา ทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบร้อน หลังจากนั้นให้ปรับค่า Default ของหน้าจอให้เป็นแบบมาตรฐาน ดูว่ามีสิ่งใดผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ เช่น ขอบของจอผิดเพี้ยน ความสว่างไม่เท่ากันหรืออื่นๆ เพื่อที่จะได้แจ้งทางร้านค้าได้ทันที
ข้อมูลจาก : หนังสือช่างคอมพ์เลือกซื้ออุปกรณ์ COMPUTER.TODAY
การเลือกซื้อเคส
การเลือกเคสนับเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากเป็นสิ่งที่จะนำมาใส่คอมพิวเตอร์ของคุณ นอกจากในเรื่องของความสวยงามแล้ว ความปลอดภัย น้ำหนักและการติดตั้งได้สะดวกยังถือเป็นสิ่งที่ควรจะนำมารพิจารณาด้วยเช่นกัน โดยในปัจจุบันมีเคสให้เลือกมากมาย หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเคสเหล็ก เคสอะลูมิเนียมหรือแบบผสมคือโครงสร้างหลักเป็นเหล็ก แต่มีหน้ากากและฝาปิดเป็นอะลูมิเนียม แม้ว่าเคสในแบบอะลูมิเนียมล้วนจะมีราคาค่อนข้างสูง แต่ถ้าดูจากน้ำหนักที่เบา ดีไซน์สวยงามและความสะดวกในการติดตั้งแล้ว จัดว่ามีความคุ้มค่ามากทีเดียว นอกจากนี้เคสอะลูมิเนียมที่วางขายในปัจจุบัน ยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจอีกด้วย ส่วนรายละเอียดในการเลือกเคสให้ถูกใจ ประกอบด้วย
เลือกรูปแบบตามความต้องการ
ปัจจุบันเคสที่มีจำหน่ายส่วนใหญ่ในท้องตลาดมี 3 รูปแบบคือ Full Tower, Medium Tower โดยมีให้เลือกทั้งแบบแนวตั้งและแนวนอน ซึ่งภายในจะรองรับเมนบอร์ดแบบ ATX, ATX Full size หรือ mATX สำหรับ Mini Tower แต่ก็มีรูปแบบแปลกๆ มาให้เลือกกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเคสนอนสำหรับการนำไปใช้เป็นชุดโฮมเธียเตอร์ เคสขนาดเล็กแบบ Barebone รวมไปถึงเคสแบบอะคริลิกใส ดูแปลกตา สำหรับผู้ที่ชอบความแปลกใหม่และสีสันที่สดในจากแสงไฟที่นำมาประดับ
ฟังก์ชันที่ตอบสนองได้ตามความต้องการ
ในเรื่องของฟังก์ชันไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีทุกอย่างตามที่เราต้องการ แต่หมายถึงต้องมีองค์ประกอบสำคัญๆ ที่รองรับการใช้งานได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพื้นที่สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ได้สะดวกและเพียงพอ รองรับการอัพเกรด ซึ่งผู้ใช้ควรต้องวิเคราะห์อย่างรอบคอบว่า ต้องการติดตั้งอุปกรณ์ใดลงไปบ้างและจำนวนมากน้อยเพียงใด โดยดูจากช่อง (Bay) สำหรับออปติคอลไดร์ฟ พื้นที่จัดวางฮาร์ดดิสก์รวมไปถึงเพาเวอร์ซัพพลายที่เมื่อติดตั้งอุปกรณ์ทั้งหมดลงไปแล้วเดินสายไฟจะไม่แออัดจนเกินไป รวมถึงต้องเผื่อพื้นที่สำหรับให้แรงลมช่วยระบายความร้อนด้วยถ้าเป็นนักปรับแต่งโอเวอร์คล็อกต้องการใช้ระบบ Water Cooling ก็ต้องมองไปถึงพื้นที่การวางหม้อน้ำ ปั้มน้ำและให้เพียงพอต่อการเดินสายยาง เพราะหากพื้นที่แคบเกินไป อาจทำให้องศาของสายที่แคบและเกิดการแตกหัก รวมถึงเบย์ด้านหน้าต้องเพียงพอสำหรับติดตั้ง Front Panel ที่เป็นเซ็นเซอร์ตรวจสอบอุณหภูมิอีกด้วย
ต้องมีการระบายความร้อนที่ดี
การติดตั้งพัดลมระบายความร้อนถือว่า เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ทำให้ต้องเลือกเคสที่มีพัดลมระบายความร้อนด้านข้างหรือด้านบนก็จะเป็นการดี แต่อย่างไรก็ตามาให้ติดตั้งเพียงพอเหมาะในการใช้งานเท่านั้น หากใส่พัดลมมากเกินไปก็อาจส่งผลให้เพาเวอร์ซัพพลายจ่ายไฟไม่เพียงพอ เกิดเสียงดังรบกวนจนน่ารำคาญ อีกทั้งทำให้ฝุ่นเข้าไปเกาะตามอุปกรณ์ต่างๆ มากไปอีกด้วย
มีความปลอดภัยในการติดตั้ง
เคสที่ดีต้องมีการเก็บรายละเอียดงานได้พอสมควร ไม่มีเหลี่ยมคมให้บาดมือได้ นอกจากนี้เคสบางรุ่นยังบุแถบยางในจุดที่ต้องสอดมือเข้าไปติดตั้งอย่างเช่น เพาเวอร์ซัพพลายหรือฮาร์ดดิสก์ ซึ่งช่วยป้องกันการถูกบาดหรือขูดกับผิวหนังได้ดีทีเดียว
ความสะดวกในการติดตั้งและจัดวางอุปกรณ์
ปัจจุบันผู้ผลิตเคสส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับฟังก์ชัน สำหรับการติดตั้งอุปกรณ์มากขึ้น ดังนั้นแล้วผู้ใช้ที่ชอบเล่นฮาร์ดแวร์ มีการถอดเข้า-ออกบ่อยๆ การเลือกเคสที่เป็นแบบถอดประกอบง่ายๆ ดูจะเป็นทางเลือกที่ดี ไม่ทำให้หงุดหงิดใจเวลาติดตั้ง ซึ่งเคสแบบดังกล่าวอาจมีราคาสูง แต่ในการติดตั้งและแกะออก โดยไม่ทำให้ฮาร์ดแวร์ช้ำหรือเกิดการกระแทกย่อมคุ้มค่าอย่างแน่นอน โดยมีรูปแบบที่น่าสนใจคือ ถาดด้านหลังสามารสไลด์ออก สำหรับติดตั้งเมนบอร์ดได้ง่ายขึ้นหรือการยึดอุปกรณ์เข้ากับตัวเคสเป็นแบบไม่ใช้ไขควง (Screwless) ซึ่งมีผู้ผลิตหลายค่ายเริ่มให้ความสนใจกันมากขึ้น เทคนิครูปแบบดังกล่าว จะช่วยให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องนำไขควงมายึดน็อตทีละตัว แต่จะใช้เป็นสลักยึดที่ล็อกติดกับตัวเคสได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นออปติคอลไดรฟ์ ฮาร์ดดิสก์หรือเมนบอร์ดก็ตาม รวมไปถึงการติดตั้งการ์ดต่อพ่วงก็ง่ายขึ้น เพียงใช้สลักยึดกับตัวการ์ดหลังการติดตั้งได้ทันที ทำให้การติดตั้งเป็นไปอย่างรวดเร็วการเลือกเคสให้ได้ถูกใจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามถูกใจเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาคุณสมบัติและความต้องการในการใช้งานด้วย เรื่องของราคาก็อาจเป็นสิ่งที่ช่วยในการตัดสินใจเช่นกัน ดังนั้นขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้ใช้ ในการเลือกให้น้ำหนักกับส่วนใดระหว่างรูปลักษณ์ ความสะดวกและราคาข้อมูลจาก : หนังสือช่างคอมพ์เลือกซื้ออุปกรณ์ COMPUTER.TODAY
การเลือกซื้อเพาเวอร์ซัพพลาย
ในอดีตเพาเวอร์ซัพพลาย มักเป็นสิ่งที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์มองข้ามอยู่เสมอ เนื่องจากคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการใช้พลังงานไฟมากมายเช่นในปัจจุบัน อีกทั้งเพาเวอร์ส่วนใหญ่ที่ติดตั้งมากับตัวเคส โดยเฉพาะกับคอมพ์สำเร็จรูป ก็สามารถรองรับได้เพียงพอ แต่ในวันนี้เฉพาะเมนบอร์ดและการ์ดจอด รุ่นกลางๆ ก็สามารถทำให้เพาเวอร์เดิมๆ สะดุดหรือเกิดอาการผิดปกติได้ง่ายๆ แม้ว่าเพาเวอร์ที่ใช้นั้นจะระบุกำลังไฟที่ 450Walt ก็ตาม ดังนั้นจึงต้องมาทำความเข้าใจกันใหม่กับการเลือกใช้เพาเวอร์ซัพพลายให้เหมาะสมและถูกวิธี เพื่อที่จะช่วยให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ราบรื่น รวมถึงมีเสถียรภาพอีกด้วย หลักพิจารณาในการเลือกซื้อหรือว่าได้เวลาเปลี่ยน PSU หรือยังนั้น มีหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น อาการเกิดบลูสกรีน (Blue-scree) การดับหรือรีสตาร์ตโดยไม่ทราบสาเหตุ รวมถึงการไม่สามารถเข้าระบบได้เลย ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งจ่ายไฟไม่พอหรือเริ่มมีการลัดวงจรนั่นเอง ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่บอกถึงอันตรายอันอาจเกิดกับอุปกรณ์อื่นๆ ในคอมพ์ด้วยดังนั้นอย่าได้นิ่งนอนใจในการแก้ไขปัญหา ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยน PSU จะมีการเลือกอย่างไร
เลือกแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง
ผู้ผลิตที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่ ก็จะใช้วัสดุคุณภาพดีและมีความประณีต ส่งผลต่อความปลอดภัยและความทนทานในการใช้งานที่นานขึ้น ผู้ใช้อาจเลือกตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซต์หรือร้านค้าที่จำหน่าย นอกจากนี้อาจเข้าไปสอบถามหรือหาข้อมูลจากผู้ใช้เว็บไซต์ทดสอบ เว็บบอร์ดต่างๆอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
เลือกกำลังไฟที่เพียงพอต่อคอมพิวเตอร์
ดูจากฉลากด้านข้างตัวอุปกรณ์ซึ่ง PSU รุ่นใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะระบุมาอย่างชัดเจน ด้วยกำลังไฟที่จ่ายได้ต่ำสุด-สูงสุด รวมถึงไฟเลี้ยงและค่าต้านทานที่เหมาะสมโดยที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 350-500 วัตต์ แต่ถ้าเป็นกลุ่มเกมเมอร์ก็จะสูงขึ้นไปอีกด้วยคือ 500-750 วัตต์ ยิ่งถ้าเป็นเกมการ์ดแบบคู่ไม่ว่าจะเป็น SLI หรือ CrossFire ซึ่งการ์ดแต่ละตัวต้องใช้ไฟเลี้ยงเพิ่มเติมด้วยแล้ว อาจต้องก้าวไปถึง 700 วัตต์ เลยทีเดียว มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ต่อพ่วงภายในด้วยเช่นกัน หากสงสัยวาคอมพิวเตอร์ของตนที่ใช้อยู่หรือกำลังจะซื้อ ต้องใช้ PSU ขนาดไหน สามารถเข้าไปคำนวณการใช้พลังงานของเครื่อง เพื่อใช้ในการเลือกซื้อเพาเวอร์ซัพพลายได้ง่ายๆ โดยมีเว็บไซต์หลายที่ให้บริการคำนวณ เช่น http://www.extreme.outervision.com/psucalculatorlite.jsp การใช้งานเพียงกรอกรายละเอียดอุปกรณ์ที่ใช้ลงไปก็จะคำนวณการใช้งานออกมาให้ทันที
คอนเน็กเตอร์สำหรับต่ออุปกรณ์ภายใน
ในเรื่องของคอนเน็กเตอร์ก็สำคัญเช่นกัน ควรเลือก PSU ที่มีหัวจ่ายไฟให้เพียงพอกับการใช้งานของคุณ ไม่ว่าจะเป็นคอนเน็กเตอร์ 20-pins หรือ 24-pinsสำหรับเพาเวอร์ หรืออย่างน้อยควรมีหัวแปลงมาให้ Molex 4-pins(12V) ที่ใช้เพิ่มในกรณีของเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆรวมถึงถ้ามี 6-pins สำหรับกราฟิกการ์ดที่ต้องใช้พลังงานเพิ่มก็ตาม นอกจากนี้ยังมีสายเพาเวอร์สำหรับฮาร์ดดิสก์ในแบบ SATA มาด้วยเช่นกัน ดูง่ายๆก็คือ ควรจะต้องมีในส่วนที่เป็น Form Factor มาครบถ้วน และเพียงพอสำหรับความต้องการนั่นเอง
ข้อมูลจาก : หนังสือช่างคอมพ์เลือกซื้ออุปกรณ์ COMPUTER.TODAY
การเลือกซื้อออปติคอลไดรฟ์
การเลือกออปติคอลไดรฟ์ ในปัจจุบันตัดสินใจค่อนข้างง่ายทีเดียว เนื่องจากไดรฟ์แบบ DVD?RW นั้นราคาถูกมาก เริ่มต้นเพียง 1,000 บาท เท่านั้นสำหรับ Intemal ซึ่งราคาจะแพงกว่า DVD และ CD-RW อยู่เพียง 200-300 บาทเท่านั้น แต่สามารถเขียนและอ่านแผ่นได้ทั้ง DVD และCD ดังนั้นการลงทุนกับ DVD?RW จึงดูจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า แต่จะเลือกอย่างไรดีในเมื่อมีหลายรุ่นหลากยี่ห้อให้เลือกใช้
DVD+R/ DVD-R/ DVD-RAM
แตกต่างกันอย่างไรแน่นอนว่า DVD Writer เครื่องหนึ่ง ไม่ได้มีฟังก์ชันเพียง DVD-R หรือ RW เท่านั้น แต่ยังมีฟังก์ชันอื่นๆ มากมายมาอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็น DVD-R/+R, DVD?RW, Dual Layer หรือ Double side แล้วสิ่งเหล่านี้คืออะไร ใช้งานแบบไหน ลองมาดูกัน DVD-R :
เป็นรูปแบบพื้นฐานที่ใช้กันอยู่ทั่วไป การทำงานง่ายๆคือ การเขียนข้อมูลได้เพียงครั้งเดียว ไม่สามารถเขียนซ้ำได้
DVD+R :
มีความสามารถเหมือนกับ-R แต่มีความพิเศษที่สามารถเขียนข้อมูลเพิ่มเติมลงไปได้ แต่เขียนซ้ำและลบข้อมูลไม่ได้
DVD RW :
เป็นแบบที่ค่อนข้างได้รับความนิยม ด้วยจุดเด่นที่ รองรับการเขียนและข้อมูลใหม่ได้หลายครั้ง แต่เปลี่ยนข้อมูลทั้งแผ่น
DVD-RAM :
เป็นรูปแบบการเขียนข้อมูลแบบพิเศษ ด้วยการเขียนข้อมูลลงแผ่นได้เฉพาะส่วนและเลือกลบข้อมูลจากส่วนใดก็ได้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงทั้งแผ่นแบบ DVD-RW แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากแผ่นมีราคาสูงและหายาก
DVD Dual Layer :
เดิมรูปแบบของแผ่นที่ใช้กันอยู่จะเป็นแบบ Single Layer คือ การเขียนข้อมูลแบบชั้นเดียว แต่สำหรับแผ่น Dual Layer จะมีการเคลือบสารเคมีสองชั้นจึงทำให้เขียนข้อมูลได้ 2 ระดับ เก็บข้อมูลได้มากกว่าปกติเท่าตัวหรือประมาณ 9GB นั้นเอง
DVD Double side :
การเก็บข้อมูลจะคล้ายกับ Dual Layer ซึ่งได้ความจุที่ 9GB เช่นเดียวกัน เพียงแต่การเก็บข้อมูลจะเป็นแบบหน้าและหลัง ต้องมีการกลับแผ่นในการใช้งาน
เลือกแบบ External หรือ Internal ดีกว่า ???
การติดตั้งไดรฟ์อยู่ภายใน ย่อมให้ความมั่นใจในการใช้ได้มากกว่า เนื่องจากไม่มีการโยกย้ายบ่อย ไม่ต้องกลัวหาย อีกทั้งการเชื่อมต่อกับพอร์ตบนแมนบอร์ดโดยตรงผ่านทาง IDE หรือ SATA ที่ให้การถ่ายโอนข้อมูล 100MB/s และ 150MB/sทำได้เร็วกว่า USB2.0ที่ทำได้เพียง480Mb/s เท่านั้นแม้จะเป็นในทางทฤษฎีก็ตาม แต่จากการใช้งานจริงผู้ใช้จะสามารถรู้สึกได้ทีเดียว ดังนั้นจึงเหมาะกับผู้ใช้ที่มีเครื่องเฉพาะบุคคล ไม่ต้องแบ่งปันหรือเคลื่อนย้ายไปใช้ที่อื่น ส่วน External drive เคลื่อนย้ายได้ง่ายสะดวกในการติดตั้งเหมาะสมสำหรับ ผู้ที่จำเป็นต้องเดินทางหรือเปลี่ยนเครื่องใช้บ่อยๆแม้ว่าจะไม่ได้รวดเร็วเท่ากับการใช้แบบ Internal drive แต่ก็ให้ความคล่องตัวได้เป็นอย่างดีโดยความเร็วของ DVD Writer มีตั้งแต่ 16X ไม่จนถึง 20Xซึ่งมีให้เลือกเกือบทุกค่าย
ใช้อินเทอร์เฟซอะไรดี ???
การเลือกอินเทอร์เฟซแบบใดดี ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงรูปลักษณ์ของอุปกรณ์ แต่หมายถึงการเชื่อมต่อกับพอร์ตแบบใดบนบอร์ด ซึ่งปัจจุบันมีทั้งแบบ SATA และ IDE ให้เลือกการเลือกใช้ความเร็วทั้ง 2แบบแทบจะไม่ต่างกัน แต่ถ้าสังเกตให้ดี เมนบอร์ดเวลานี้ส่วนใหญ่จะมีพอร์ตIDE ให้เพียงพอร์ตเดียวเท่านั้นหมายถึงการติดตั้งIDEได้ 2 ลูก ดังนั้นแล้วหากคุณมีฮาร์ดดิสก์แบบ IDE อยู่ถึง 2 ลูกแล้ว ไดรฟ์แบบ SATA ก็จะช่วยคุณได้มากทีเดียว
ความเร็วในการทำงานของไดรฟ์
หลายคนอาจจะสับสนกับตัวเลขความเร็วที่แจ้งไว้ที่ตัวไดรฟ์ ซึ่งในปัจจุบันหลังจาก CD-RWแล้วจะไม่ค่อยนิยมสกรีนไว้ด้านหน้า เนื่องจากจะเป็นตัวเลขที่ยาว แต่สามารถดูได้จากข้างกล่องหรือตัวไดรฟ์ เช่น DVD?RWและ Combo Drive DVD RW ส่วนใหญ่ไดรฟ์ประเภทนี้จะแจ้งความเร็วเดียวคือ DVD R speed แต่ส่วนที่เหลือจะแจ้งไว้ที่ข้างกล่องโดยจะแจ้วความเร็วในโหมดต่างๆไว้อย่างครบถ้วน ส่วนCombo Drive 52x32x52/16x จะบอกถึงความเร็วในการอ่านCD 52X เขียน CD –RW 32Xและเขียน CD-R 52X รวมถึงอ่านแผ่น DVD X
บัฟเฟอร์ (Buffer) สำคัญอย่างไร
ถ้าว่ากันเรื่องบัฟเฟอร์ อุปกรณ์ไอทีหลายชนิด ล้วนแต่ต้องการบัฟเฟอร์ที่ช่วยให้การทำงานของระบบมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยคุณสมบัติในการสำรองข้อมูล เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการรับ –ส่งข้อมูล เช่นเดียวกับ ออปติคอลไดรฟ์ ที่จะช่วยให้ไม่เกิดโอกาสที่เรียกว่า Buffer under run หรือการขาดช่วงในระหว่างการเขียน ซึ่งหมายถึงเกิดความผิดพลาดหรือแผ่นเสียนั่นเองแต่การทำงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงบัฟเฟอร์เท่านั้น หากยังมีเทคโนโลยีที่ช่วยจัดการอีกชั้นหนึ่งด้วย โดยโดรฟ์ที่มีจำหน่ายในตลาดตอนนี้ มีตั้งแต่ 2MB-8MBเกร็ดความรู้ ---เทคโนโลยี Light Scribe เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการทำลวดลายบนแผ่น CD/DVD ได้บนตัวไดรฟ์เองสำหรับผู้ที่ชอบความสวยงามและมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง อย่างไรก็ตามแผ่นสำหรับการทำจะทีราคาค่อนข้างแพง อีกทั้งใช้เวลาในการทำนานพอสมควร โดยเทคโนโลยีดังกล่าวปัจจุบันก็มีอยู่ใน DVD Writer หลายรุ่นในท้องตลาด
ข้อมูลจาก : หนังสือช่างคอมพ์เลือกซื้ออุปกรณ์ COMPUTER.TODAY
การเลือกซื้อแรม (RAM) หรือหน่วยความจำหลัก
การเลือกซื้อแรมปัจจุบัน นอกจากจะต้องดูกันที่ความจุความเร็วแล้ว หลายคนยังมองไปที่สัปดาห์ที่ผลิต รวมถึงเม็ดแรมที่นำมาใช้อีกด้วย โดยเฉพาะกับบรรดาเซียนคอมพ์ทั้งหลาย ที่แทบจะเอากล้องส่งอพระมาส่องกันเลยทีเดียว แต่สิ่งเหล่านี้ คงต้องยกให้กับเหล่ามืออาชีพกันไป ส่วนผู้ที่กำลังมองหาไว้ใช้งานโดยทั่วไปแล้ว สำหรับการเลือกแรมมีหลักง่ายๆ เพียงไม่กี่ข้อ ไม่ยุ่งยาก เพียงแต่อาจใส่ใจอยู่บ้าง เริ่มตั้งแต่
ดูจากเมนบอร์ดที่ใช้อยู่
ปัจจุบันชัดเจนว่าแรมที่มีอยู่ในตลาดและใช้กันอยู่โดยทั่วไป มีอยู่ 3 รูปแบบคือ DDR, DDR2 และ DDR3 โดยที่แต่ละแบบก็ใช้งานกับแพลตฟอร์มต่างกันออกไป กล่าวคือ DDR (184-pins) จะทำงานร่วมกับชิปเซตรุ่นเก่าของทั้ง Intel ตระกูล 845, 865 และใน VIA P4M บางรุ่น สำหรับ AMD ก็มีตั้งแต่ nForce2, nForce3, GeForce 6100/6150 แต่เวลานี้ก็แทบจะลาจากตลาดไปอย่างถาวร ส่วนใหญ่จะถูกเปลี่ยนสำหรับการอัพเกรด ประกอบด้วย DDR400/333/266 (PC3200/2700/2100) ส่วน DDR2 (240-pins) นับว่ายังคงเป็นแรมยอดนิยม ที่ยืนหยัดอยู่ในตลาดได้อีกนานพอสมควร ใช้กับชิปเซตทั้งหลายที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ายอินเทล 915, 925, 945, 955, 965, 975, G31, G33, P35, X38 และ X48 รวมไปถึง 680i/ 780i ส่วนทาง AMD ก็ใช้ได้กับ nForce4, nForce 5xx Series, 690G, nForce 750/770/790FX Series ซึ่งก็มีให้เลือกตั้งแต่ DDR2 800/667/533 (PC6400/5300/4200) นับเป็นแรมที่มีราคาค่อนข้างถูก มีให้เลือกตั้งแต่แถวละ 512MB, 1GB และ 2GBล่าสุดกับ DDR3 (240-pins) ที่ยังถือว่าเป็นแรมที่มีประสิทธิภาพสูงพอสมควร รวมถึงราคาจำหน่ายด้วยเช่นกัน เนื่องจากยังไม่มีการสนับสนุนอย่างเต็มที่เท่าใดนัก ส่วนชิปเซตจากอินเทลจะมีเพียง X48 ที่รองรับการทำงานอย่างเต็มตัว แต่ผู้ผลิตก็ยังมีในแบบ DDR2 มาให้ใช้ด้วย ส่วนทาง AMDจะมีในรุ่น AMD 790i ที่เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดเท่านั้น ที่ออกมารองรับการทำงานกับ DDR3 โดยจะมีความเร็วที่ DDR3 1333 และ DDR3 1066 (PC10600/8500)
เลือกที่ความจุและขนาดที่ต้องการ
ให้ดูจากปริมาณการทำงานและแอพพลิเคชันที่ใช้เป็นหลัก หากการใช้งานทั่วไปร่วมกับวินโดวส์เอ็กซ์พีแล้ว ความจุที่512MB ก็น่าจะเพียงพอต่อการใช้งาน แต่ถ้ามีความต้องการในเรื่องของเกมสามมิติและโปรแกรมตกแต่งภาพแล้ว ความจุที่มากกว่า 1GB จะช่วยให้มีความลื่นไหลมากขึ้น ส่วนถ้าหากจำนำไปใช้กับงานระดับ Workstation ความจุที่ 2-4GB ก็ดูจะเป็นขนาดที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงที่แรม DDR2 ราคาถูกเช่นนี้ การอัพเกรดความจุให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะหาซื้อได้ ก็เป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย
เลือกแบบ Single ความจุสูงแถวเดียวหรือ Dual ความจุเท่ากัน 2 แถว
ดีในความเป็นจริงทั้ง 2 แบบก็ถือว่าถูกเหมือนกัน แต่อาจต้องมาคิดคำนวณ ระหว่างราคากับประสิทธิภาพ ในปัจจุบันนี้ ต้องไม่ลืมว่าการทำงานในโหมด Dual Channel ที่เป็นแบบแรมสองแถวคู่ มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมไม่น้อยกว่า 20% แต่นั่นหมายถึงมีอัตราค่าใช้จ่ายสูงกว่าการซื้อแรมแบบแถวเดียว ในความจุเท่ากัน อย่างเช่นกรณี Corsair VS 512MB x 2 (Kit) ราคา 460 บาท แต่ถ้า 1 GB แถวละ 730 บาท (เดือนมกราคม) แต่แบนด์วิดธ์ที่ได้จะต่างกัน การใช้แถวคู่ก็แน่นอนว่าจะต้องเสียสล็อตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่อง การอัพเกรดก็น้อยลง ดังนั้นแล้วก็ควรจะพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ
องค์ประกอบอื่นๆ
ในส่วนขององค์ประกอบพิเศษก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการระบายความร้อน ซึ่งหลายค่ายนิยมติด Heat Spreader ที่ช่วยในการระบายความร้อนมาให้ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเพิ่มมูลค่าได้ไม่น้อยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามการติดฮีตชิงก์ให้กับแรมนี้ควรจะต้องมั่นใจว่ามีการระบายความร้อนที่ดีด้วยเช่นกัน เช่นการปรับทิศทางลมให้เหมาะสม ไม่เช่นนั้นอาจเกิดภาวะสะสมความร้อน จนเกิดอันตรายต่อแรมได้เช่นกัน แต่ปัจจุบันก็มีพัดลมสำหรับสล็อตแรมมาจำหน่ายเช่นกันการรับประกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นแรมอุปกรณ์ไม่กี่ชนิด ที่ใช้การรับประกันแบบ Life Time Warranty มาเป็นจุดขาย แต่ก็คงต้องทำความเข้าใจกับรูปแบบ
การรับประกัน
ดังกล่าวนี้ด้วย การรับประกันตลอดชีพ จะหมายถึงการรับประกันไปจนถึงช่วงที่สิ้นสุดการผลิตของแรมรุ่นดังกล่าวเท่านั้น แต่ถ้าเกิดมีปัญหาหลังจากนั้น ทางผู้จัดจำหน่าย อาจให้เลือกเปลี่ยนเป็นรุ่นอื่น อาจเป็นรุ่นที่ดีกว่าหรือถูกกว่า รวมถึงในบางครั้งอาจต้องจ่ายส่วนต่างด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและการตกลงกันของผู้ซื้อและผู้จำหน่ายส่วนเงื่อนไขการรับประกันให้ตกลงกับผู้จำหน่ายให้เป็นที่เข้าใจ แต่ส่วนใหญ่การรับประกันจะไม่รวมไปถึง การแตกหักเสียหาย เม็ดแรมหลุดหรือบิ่น จะมีเพียงบางค่ายที่ยอมรับได้ในเรื่องการไหม้ รวมถึงการเก็บใบเสร็จหรือใบรับประกันไว้ให้เรียบร้อย สำหรับการยืนยันกับร้านค้า หากเกิดปัญหาในขั้นตอนการเคลม
วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ชิปเซ็ต (Chipset)
1.1 NorthBridge
1.2 SouthBridge
การซื้อ Mainboard เราควรดูว่าเราจะใช้กับ CPU อะไร เพื่อจะได้เลือกซื้อ SOCKET ได้ถูกต้อง และที่สำคัญต้องดูว่า Chipset บน Mainboard เป็น Chipset อะไรเพื่อจะได้ใช้งานกับ CPU ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกต่างๆ
ฮับฮับช่วยให้คอมพิวเตอร์ต่างๆ บนเครือข่ายสามารถสื่อสารกันได้ คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะต่อเข้ากับฮับโดยสายเคเบิลอีเทอร์เน็ต และส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งโดยผ่านฮับ ฮับไม่สามารถระบุแหล่งข้อมูลหรือปลายทางที่กำหนดของข้อมูลที่ได้รับ ดังนั้นจึงส่งข้อมูลไปให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อกับฮับ ซึ่งรวมถึงเครื่องที่ส่งข้อมูลดังกล่าวด้วย ฮับสามารถรับหรือส่งข้อมูล แต่ไม่สามารถทำทั้งสองอย่างได้ในเวลาเดียวกัน จึงทำให้ฮับทำงานช้ากว่าสวิตซ์ ฮับมีความซับซ้อนน้อยมากและมีราคาถูกที่สุดในบรรดาอุปกรณ์ทั้งสามนี้
เครือข่ายที่ใช้ฮับ
แคช
แรมและกราฟฟิกการ์ด ชิปเซ็ตส่วนนี้เรียก North Bridge กับส่วนควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ความเร็วต่ำหรือใช้สำหรับต่ออุปกรณ์I/Oต่างๆ เช่นIDE/SATA Controller ชิปเสียง ชิปเน็ตเวิร์ก บออส พอร์ตหรือคอนเน็คต่างๆ และช่องเสียบการ์ด เราเรียกSouth Briodge แต่ชิปเซ็ตของIntelตั้งแต่รุ่นi810เป็นต้นมาด้มีการออกแนวคิดแบบใหม่ๆมาใช้ดยทางIntel ด้คิดชิปเซ็ตน่าจะมีส่วนช่วยในการประมวลผลคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้ลดค่าใช้จ่ายลงถ้าหากออกแบบชิปเซ็ตให้มีตัวประมวลผลภาพและเสียงจึงด้เปลี่ยนจากเดิมที่เคยแบ่งชิปเซ็ตออกเป็น North Bridge และ South Briodge กลายมาเป็นสถาปัตยกรรมแบบฮับเร่งความเร็ว หรือ Accelerated Hub Architecture ซึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญสามส่วนคือ MCH ถ้ามีตัวประมวลผลด้วยจะเรียกGMCH / ICH /FWH ที่ด้รวมการเชื่อมต่อในรูปแบบและความเร็วต่างๆเข้าด้วยกัน
วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
เมนบอร์ด(MAIN BOARD)
ชนิดของเมนบอร์ด
2.แบบ ATX
3.micro ATX
4.แบบ FlexATX
ชนิดของเมนบอร์ด
ลักษณะโครงสร้าง
เป็นเมนบอร์ดที่มีความกว้างและความยาวใกล้เคียงกันคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขั้วรับไฟมี 12 ขา การปิด เครื่องใช้สวิทซ์เป็นตัวควบคุม
เป็นเมนบอร์ดมาตรฐานใหม่ ลักษณะคล้ายกับ AT แต่ขนาดเล็กกว่า เมนบอร์ดรุ่นนี้ได้รับการออกแบบ ให้ซีพียูและหน่วยความจำอยู่ใกล้กัน ตลอดจนซีพียูถูกวางไว้ใกล้กับพัดลมระบายความร้อน นอกจากนี้ ยังกำหนดตำแหน่งและสีของช่องสำหรับอุปกรณ์ต่อไว้ต่างกันเพื่อให้จดจำง่าย รวมทั้งสามารถสั่งปิด เครื่องจากระบบปฏิบัติการโดยไม่ต้องกดสวิทซ์มีขนาด 12 นิ้ว x 9.6 นิ้ว
ลักษณะคล้ายกับรุ่น ATX แต่ลดจำนวนสล็อตเหลือเพียง 3 – 4 สลอต เพื่อทำให้ราคาจำหน่ายถูกลงมีขนาดเพียง 9.6 นิ้ว คูณ 9.6นิ้ว
เป็นเมนบอร์ดแบบ ATX ที่มีขนาดเล็กที่สุด เมนบอร์ดชนิดนี้มักมีอุปกรณ์ Onboard มาด้วยตอนผลิตขนาดเมนบอร์ดเพียง 9 นิ้ว คูณ 7.5 นิ้ว

ชุดชิพเซ็ตเป็นเสมือนหัวใจของเมนบอร์ดอีกที่หนึ่งเนื่องจากอุปกรณ์ตัวนี้จะมีหน้าที่หลักเป็นเหมือนทั้ง อุปกรณ์ แปลภาษา ให้อุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่บนเมนบอร์ดสามารถทำงานร่วมกันได้ และทำหน้าที่ควบคุม อุปกรณ์ต่างๆ ให้ทำงานได้ตามต้องการ
ไบออส BIOS หรืออาจเรียกว่าซีมอส (CMOS) เป็นชิพหน่วยความจำชนิด หนึ่งที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล และโปรแกรมขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการบูตของระบบคอมพิวเตอร์
หน่วยความจำแคชระดับสองนั้นเป็นอุปกรณ์ ตัวหนึ่งที่ทำหน้าเป็นเสมือนหน่วยความจำ บัฟเฟอร์ให้กับซีพียู โดยใช้หลักการที่ว่า การทำงานร่วมกับอุปกร์ที่ความเร็วสูงกว่า จะทำให้เสียเวลาไปกับการรอคอยให้อุปกรณ์ ที่มีความเร็วต่ำ ทำงานจนเสร็จสิ้นลง เพราะซีพียูมีความเร็วในการทำงานสูงมาก การที่ซีพียูต้องการข้อมูล ซักชุดหนึ่งเพื่อนำไปประมวลผลถ้าไม่มีหน่วยความจำแคช
4.สล็อต
ขีดความสามารถของเมนบอร์ดขึ้นอยู่กับการมีสล็อต และลักษณะชนิดของสล็อต เพราะหากมีสล็อตหลายสล็อตก็หมายถึงการขยายหรือเพิ่มอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์อื่นได้ แต่หากมีจำนวนสล็อตมาก ก็หมายถึงราคาของเมนบอร์ดก็สูงขึ้น ชนิดของสล็อตที่มีกับเมนบอร์ดประกอบด้วย
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
แรม

รูปแสดง DDR - SDRAM
หน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM นี้พัฒนามาจากหน่วยความจำแบบ SDRAM เอเอ็มดีได้ทำการพัฒนาชิปเซตเองและให้บริษัทผู้ผลิตชิปเซตรายใหญ่อย่าง VIA, SiS และ ALi เป็นผู้พัฒนาชิปเซตให้ ปัจจุบันซีพียูของเอเอ็มดีนั้นมีประสิทธิภาพโดยรวมสูงแต่ยังคงมีปัญหาเรื่องความเสถียรอยู่บ้าง แต่ต่อมาเอเอ็มดีหันมาสนใจกับชิปเซตสำหรับซีพียูมากขึ้น ขณะที่ทางเอเอ็มดีพัฒนาชิปเซตเลือกให้ชิปเซต AMD 760 สนับสนุนการทำงานร่วมกับหน่วยความจำแบบ DDR เพราะหน่วยความจำแบบ DDR นี้ จัดเป็นเทคโนโลยีเปิดที่เกิดจากการร่วมมือกันพัฒนาของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเอเอ็มดี, ไมครอน, ซัมซุง, VIA, Infineon, ATi, NVIDIA รวมถึงบริษัทผู้ผลิตรายย่อยๆ อีกหลายDDR-SDRAM เป็นหน่วยความจำที่มีบทบาทสำคัญบนการ์ดแสดงผล 3 มิติ
ทางบริษัท nVidia ได้ผลิต GeForce ใช้คู่กับหน่วยความจำแบบ SDRAM แต่เกิดปัญหาคอขวดของหน่วยความจำในการส่งถ่ายข้อมูลทำให้ทาง nVidia หาเทคโนโลยีของหน่วยความจำใหม่มาทดแทนหน่วยความจำแบบ SDRAM โดยเปลี่ยนเป็นหน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM การเปิดตัวของ GeForce ทำให้ได้พบกับ GPU ตัวแรกแล้ว และทำให้ได้รู้จักกับหน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM เป็นครั้งแรกด้วย การที่ DDR-SDRAM สามารถเข้ามาแก้ปัญหาคอคอดของหน่วยความจำบนการ์ดแสดงผลได้ ส่งผลให้ DDR-SDRAM กลายมาเป็นมาตรฐานของหน่วยความจำที่ใช้กันบนการ์ด 3 มิติ ใช้ Module DIMM หรือ Dual In-line Memory Module โดย Module นี้เพิ่งจะกำเนิดมาไม่นานนัก มี datapath ถึง 64 bit โดยทั้งสองด้านของ circuite board จะให้สัญญาณที่ต่างกัน

Rambus นั้นทางอินเทลเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนหลักมาตั้งแต่แรกแล้ว Rambus ยังมีพันธมิตรอีกเช่น คอมแพค, เอชพี, เนชันแนล เซมิคอนดักเตอร์, เอเซอร์ แลบอเรทอรีส์ ปัจจุบัน Rambus ถูกเรียกว่า RDRAM หรือ Rambus DRAM ซึ่งออกมาทั้งหมด 3 รุ่นคือ Base RDRAM, Concurrent RDRAM และ Direct RDRAM RDRAM แตกต่างไปจาก SDRAM เรื่องการออกแบบอินเทอร์-เฟซของหน่วยความจำ Rambus ใช้วิธีการจัด address การจัดเก็บและรับข้อมูลในแบบเดิม ในส่วนการปรับปรุงโอนย้ายถ่ายข้อมูล ระหว่าง RDRAM ไปยังชิปเซตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีอัตราการส่งข้อมูลเป็น 4 เท่าของความเร็ว FSB ของตัว RAM คือ มี 4 ทิศทางในการรับส่งข้อมูล เช่น RAM มีความเร็ว BUS = 100 MHz คูณกับ 4 pipline จะเท่ากับ 400 MHz
วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการขนถ่ายข้อมูลของ RDRAM นั้นก็คือ จะใช้อินเทอร์เฟซเล็ก ๆ ที่เรียกว่า Rambus Interface ซึ่งจะมีอยู่ที่ปลายทางทั้ง 2 ด้าน คือทั้งในตัวชิป RDRAM เอง และในตัวควบคุมหน่วยความจำ (Memory controller อยู่ในชิปเซต) เป็นตัวช่วยเพิ่มแบนด์วิดธ์ให้ โดย Rambus Interface นี้จะทำให้ RDRAM สามารถขนถ่ายข้อมูลได้สูงถึง 400 MHz DDR หรือ 800 เมกะเฮิรตซ์ เลยทีเดียว
แต่การที่มีความสามารถในการขนถ่ายข้อมูลสูง ก็เป็นผลร้ายเหมือนกัน เพราะทำให้มีความจำเป็นต้องมี Data path หรือทางผ่านข้อมูลมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อรองรับปริมาณการขนถ่ายข้อมูลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้ขนาดของ die บนตัวหน่วยความจำต้องกว้างขึ้น และก็ทำให้ต้นทุนของหน่วยความจำแบบ Rambus นี้ สูงขึ้นและแม้ว่า RDRAM จะมีการทำงานที่ 800 เมกะเฮิรตซ์ แต่เนื่องจากโครงสร้างของมันจะเป็นแบบ 16 บิต (2 ไบต์) ทำให้แบนด์วิดธ์ของหน่วยความจำชนิดนี้ มีค่าสูงสุดอยู่ที่ 1.6 กิกะไบต์ต่อวินาทีเท่านั้น (2 x 800 = 1600) ซึ่งก็เทียบเท่ากับ PC1600 ของหน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM สัญญาณนาฬิกา DDR-SDRAM จะมีพื้นฐานเหมือนกับ SDRAM ทั่วไปมีความถี่ของสัญญาณนาฬิกาเท่าเดิม (100 และ 133 เมกะเฮิรตซ์) เพียงแต่ว่า หน่วยความจำแบบ DDR นั้น จะสามารถขนถ่ายข้อมูลได้มากกว่าเดิมเป็น 2 เท่า เนื่องจากมันสามารถขนถ่ายข้อมูลได้ทั้งในขาขึ้นและขาลงของหนึ่งรอบสัญญาณนาฬิกา ในขณะที่หน่วยความจำแบบ SDRAM สามารถขนถ่ายข้อมูลได้เพียงขาขึ้นของรอบสัญญาณนาฬิกาเท่านั้น ด้วยแนวคิดง่าย ๆ แต่สามารถเพิ่มแบนด์วิดธ์ได้เป็นสองเท่า และอาจจะได้พบกับหน่วยความจำแบบ DDR II ซึ่งก็จะเพิ่มแบนด์วิดธ์ขึ้นไปอีก 2 เท่า จากหน่วยความจำแบบ DDR (หรือเพิ่มแบนด์วิดธ์ไปอีก 4 เท่า เมื่อเทียบกับหน่วยความจำแบบ SDRAM) ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะจะว่าไปแล้วก็คล้ายกับกรณีของ AGP ซึ่งพัฒนามาเป็น AGP 2X 4X และ AGP 8X
หน่วยความจำแบบ DDR จะใช้ไฟเพียง 2.5 โวลต์ แทนที่จะเป็น 3.3 โวลต์เหมือนกับ SDRAM ทำให้เหมาะที่จะใช้กับโน้ตบุ๊ก และด้วยการที่พัฒนามาจากพื้นฐานเดียว DDR-SDRAM จะมีความแตกต่างจาก SDRAM อย่างเห็นได้ชัดอยู่หลายจุด เริ่มตั้งแต่มีขาทั้งหมด 184 pin ในขณะที่ SDRAM จะมี 168 pin อีกทั้ง DDR-SDRAM ยังมีรูระหว่าง pin เพียงรูเดียว ในขณะที่ SDRAM จะมี 2 รู ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่า DDR-SDRAM นั้น ไม่สามารถใส่ใน DIMM ของ SDRAM ได้ หรือต้องมี DIMM เฉพาะใช้ร่วมกันไม่ได้ การเรียกชื่อ RAM Rambus ซึ่งใช้เรียกชื่อรุ่นหน่วยความจำของตัวเองว่า PC600, PC700 และ ทำให้ DDR-SDRAM เปลี่ยนวิธีการเรียกชื่อหน่วยความจำไปเช่นกัน คือแทนที่จะเรียกตามความถี่ของหน่วยความจำว่าเป็น PC200 (PC100 DDR) หรือ PC266 (PC133 DDR) กลับเปลี่ยนเป็น PC1600 และ PC2100 ซึ่งชื่อนี้ก็มีที่มาจากอัตราการขนถ่ายข้อมูลสูงสุดที่หน่วยความจำรุ่นนั้นสามารถทำได้ ถ้าจะเปรียบเทียบกับหน่วยความจำแบบ SDRAM แล้ว PC1600 ก็คือ PC100 MHz DDR และ PC2100 ก็คือ PC133 MHz DDR เพราะหน่วยความจำที่มีบัส 64 บิต หรือ 8 ไบต์ และมีอัตราการขนถ่ายข้อมูล 1600 เมกะไบต์ต่อวินาที ก็จะต้องมีความถี่อยู่ที่ 200 เมกะเฮิรตซ์ (8 x 200 = 1600) หรือถ้ามีแบนด์วิดธ์ที่ 2100 เมกะไบต์ต่อวินาที ก็ต้องมีความถี่อยู่ที่ 266 เมกะเฮิรตซ์ (8 x 266 = 2100) อนาคตของ RAM บริษัทผู้ผลิตชิปเซตส่วนใหญ่เริ่มหันมาให้ความสนใจกับหน่วยความจำแบบ DDR กันมากขึ้น อย่างเช่น VIA ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปเซตรายใหญ่ของโลกจากไต้หวัน ก็เริ่มผลิตชิปเซตอย่าง VIA Apollo KT266 และ VIA Apollo KT133a ซึ่งเป็นชิปเซตสำหรับซีพียูในตระกูลแอธลอน และดูรอน (Socket A) รวมถึงกำหนดให้ VIA Apolle Pro 266 ซึ่งเป็นชิปเซตสำหรับเซลเลอรอน และเพนเทียม (Slot1, Socket 370) หันมาสนับสนุนการทำงานร่วมกับหน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM แทนที่จะเป็น RDRAM
แนวโน้มที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดของทั้ง DDR II กับ RDRAM เวอร์ชันต่อไป เทคโนโลยี quard pump คือการอัดรอบเพิ่มเข้าไปเป็น 4 เท่า เหมือนกับในกรณีของ AGP ซึ่งนั่นจะทำให้ DDR II และ RDRAM เวอร์ชันต่อไป มีแบนด์-วิดธ์ที่สูงขึ้นกว่างปัจจุบันอีก 2 เท่า ในส่วนของ RDRAM นั้น การเพิ่มจำนวนสล็อตในหนึ่ง channel ก็น่าจะเป็นหนทางการพัฒนาที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งนั่นก็จะเป็นการเพิ่มแบนด์วิดธ์ของหน่วยความจำขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเช่นกัน และทั้งหมดที่ว่ามานั้น คงจะพอรับประกันได้ว่า การต่อสู้ระหว่าง DDR และ Rambus คงยังไม่จบลงง่าย ๆ และหน่วยความจำแบบ DDR ยังไม่ได้เป็นผู้ชนะอย่างเด็ดขาด
วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
บทที่2 ซีพียู cpu
-สัญญาณนาฬิกาภายในCPU
จังหวะในการทำงานภายในตัวซีพียูซึ่งความเร็วของซีพียูที่ผู้ผลิตไว้ในหน่วยของGHz ซึ่ง2.8หรือ3.6GHzก็คือ ความเร็วหรือความถี่ของสัญญาณนาฬิกาภายในตัวซีพียูนั้นเอง
-สัญญาณนาฬิกาภายนอกซีพียู
เป็นสัญญาณที่คอยให้จังหวะในการทำงานแก่บัส(BUS)ซึ่งเป็นเส้นทางรับส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่างๆโดยบัสที่เชื่อมต่อระหว่างซีพียูกับชิปเซ็ตหรือหน่วยความจำนั้นเรียกว่าFront Side Bus (FSB)
ความเร็วFront Side Bus(FSB)
ปัจจุบันความเร็วFSBจะอยู่ที่133ถึง400MHzขึ้นกับซีพียูและชิปเซ็ตที่ใช้แต่บางครั้งอาจมีการบอกเป็็นความเร็วFSBที่สูงกว่านี้เช่น667,800,1066,1333และ1600MHzก็ขอให้เข้าใจว่าตัวเลขดังกล่าวไม่ใช่ความเร็วของสัญญาณนาฬิกาที่ให้จังหวะในการทำงานแก่FSB โดยซีพียูของAMDจะใช้เทคโนโลยีในการรับส่งข้อมูลความเร็วสูงแบบHYPER TRANSPORT ควบคูี่่่่่่่่่่่ไปกับการทำงานของส่วนควบคุมหน่วยความจำ (Integrated Memory Controller)ภายในซีพียูเข้ามาทำงานแทนFSBพร้อมๆไปกับการใช้เทคนิคที่เรียกว่า Double Data Rate (DDR)เพื่อช่วยให้สามารถรับส่งข้อมูลได้มากถึง2ครั้งในแต่ละลูกคลื่นในขณะที่ซีพียูของ Intelจะใช้ความเร็ว FSB ประกอบกับเทคนิคที่เรียกว่า Quad - Pumped เพื่อช่วยให้สามารถรับส่งข้อมูลได้มากถึง4ครั้งในแต่ละลูกคลื่น
ระบบบัส HyperTransport มาตรฐาน 1.x,2.0,3.0และ3.1
AMDได้หันมาใช้ระบบบัสแบบ HyperTransport(เทคโนโลยีนี้ถูกนำไปใช้กับ MVIDIAด้วย)ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในการรับส่งข้อมูลความเร็วสูงแบบอนุกลมโดยระบบบัสที่ใช้ นอกจากจะรับส่งข้อมูลได้ทั้งขอบขาขึ้นและขาลงของสัญลักษณ์นาฬิกา(รับส่งข้อมูลได้ถึง2ครั้งในแต่ละลูกคลื่น)
- HyperTransport 1.x(1.0xและ1.1) เป็นมาตราฐานในยูคแรก ซึ่งสนับสนุนความเร้วสูงสุดที่800MHz (ความเร็วสุทธิ 1600 MHz DDR)
-HyperTransport 2.0 เป็นมาตราฐานในยุคต่อมา ซึ่งสนับสนุนความเร้วที่ 1.0,1.2และ1.4 GHz (ความเร้วสูงสุด2.8GHz DDR)
-HyperTransport 3.0 เป็นมาตราฐานที่ใช้แพร่หลายในซีพียูAMD ซึ่งสนับสนุนความเร็วที่ 1.8, 2.0 ,2.4และ 2.6 GHz(ที่ความเร็วสูงสุด5.2GHz DDR)
-HyperTransport3.1 เป็นมาตราฐานล่าสุด ซึ่งสนับสนุนความเร็วที่2.8,3.0 และ 3.2 GHzที่ความเร็วสูงสุด3.2GHz (ความเร็วสุทธิ 6.4 GHzDDR)
หน่วยความจำแคช (Cache Memory)
หน่วยความจำแคช (Cache Memory) จะทำหน้าที่เสมือนเป็นกระดาษช่วยจำคอยจดบันทึกข้อมูลหรือคำสั่งต่างๆที่ซีพียูมีกมีการเรียกใช้งานซ้ำๆบ่อยๆไว้ชั่วคราว เพื่อช่วยลดภาวะในการติดต่อหรือเข้าถึงข้อมูลภายในแรม (RAM) ซึ่งซีพียูสามารถเรียกใช้ข้อมูลซ้ำหรือเขียนข้อมูลกับห่นวยความจำแคชได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาติดต่อกับแรมหรือฮาร์ดดิสก์ โดยทั่วไปCacheของซีพียูมักจะมี 2 ระดับคือ L1 และ L2 Cache ซึ่งปัจจุบันมักจะถูกติดตั้งไว้อยู่ภายในตัวซีพียูเลย โดยรายละเอียดของแคชระดับต่างๆมีดังนี้
-L1 Cache ตำแหน่งจะอยู่ชิดกับหน่วยประมวลผลภายในตัวซีพียู
-L2 Cache ตำแหน่งจะอยู่ถัดออกมาจาก L1 ใช้เก็บข้อมูลรองจาก L1
บรรจุภัณฑ์ (Packaging) และฐานของ(Socket)
ถ้าพูดถึงลักษณะโครงสร้างภายนอกหรือบรรจุภัณฑ์ของตัวชิป เช่น ชิปแรม ชิปซีพียู และอื่นๆ วัสดุที่นำมาใช้ทำมักเป็นวัสดุจำพวก Plastic,CeramicและOrganicซึ่งจะถูกติดตั้งลงบนเมนบอร์ดด้วยวิธีต่างๆกันตามชนิดของการเชื่อมต่อที่นำมาใช้ดังนี้
-แบบ BGA ( Ball Grid Array )
-แบบตลับ (Cartridge)
-แบบ PGA (Pin Grid Array)
-แบบ LGA (Land Grid Array)
ซีพียู อินเทล (Intel)
อินเทล (Intel Corporation) เป็นบริษัทผู้ผลิตซีพียูที่เก่าแก่และมีการพัฒนา มาอย่างต่อเนื่อง รายชื่อของซีพียูสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ PC หรือ Desktop แต่ละรุ่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของบริษัท อินเทล (Intel) มีดังนี้
1.ซีพียูรุ่นเก่า
- ตระกูล 80x86 เป็นซีพียูรู่นแรก เช่น 80386 80486( ซึ่งปัจจุบันไม่ใช้กันแล้ว)
- Pentium
- Pentium MMX
- Pentium Pro
- Pentium II
- Celeron
- Pentium III
- Celeron II
2.ซีพียูCeieron Dและ Ceieron Dual-Core
Celeron รุ่นล่าสุดใช้ชื่อว่า Celeron D ที่ยังคงเป็นซีพียูราคาประหยัดสำหรับผู้ที่ต้องการคอมพิวเตอร์ใหม่ในราคาไม่แพง เพื่อนำไปใช้งานทั่วๆไปโดยรุ่นต่างๆที่ออกมามีดังนี้
- Celeron D (Prescott-90 nm)
- Celeron D (Cedar Mill-65 nm)
- Celeron D (Conroe-L/65 nm)
- Celeron Dual-Core (Allendale-65 nm)
- Celeron Dual-core (merom 2M-65 nm) สำหรับ Notebook
3. ซีพียู Pentium
